โดยที่วิชาโหราศาสตร์ เป็นวิชาที่ลึกซึ้ง และต้องอาศัยความชำนิชำนาญ จากการศึกษา และ จาก การสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นเวลานาน ทั้งผู้ศึกษาวิชานี้จะต้องมี นิสัยรักที่จะศึกษาเป็นทุนอยู่ด้วย
จึงเป็นวิชาที่ศึกษาไม่ได้ง่ายนัก และโดยที่วิชานี้ นักวิทยาศาสตร์ มีความเห็นกันว่า เป็นวิชา ที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ ข้อเท็จจริงได้ เช่น วิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ จึงยังไม่รับรอง ว่าเป็นวิทยาศาสตร์อันแท้จริง และเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ อะไร ที่จะศึกษาวิชานี้ แต่ในอีกทางหนึ่ง นักศึกษาที่สนใจ และเชื่อในวิชาโหราศาสตร์ ก็เชื่อว่า วิชาโหราศาสตร์ เป็นวิชา ที่จะช่วย ให้ผู้ใช้วิชานี้ ได้ปฏิบัติตน ให้ถูกต้องกับกาลเวลา ที่ดาวพระเคราะห์แสดง
เช่น แสดงถึง ฐานะของเจ้าชาตา เป็นอย่างไร จะมีอาชีพเช่นไร ความเป็นไปในชีวิต โดยทั่วไปจะเป็นอย่างไร
เมื่อไรจะมีโชคดี และเมื่อไรจะไม่ดี เป็นต้น
เมื่อทราบแล้ว จะได้ทำตนให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ คือหาอาชีพ และดำเนินชีวิต ให้เหมาะสมกับดวงชาะตาของตน นับว่าเป็นประโยชน์ประการหนึ่ง และ เมื่อ ถึงคราวที่ดาวพระเคราะห์แสดงว่ามีโชค จะได้พยายามขวนขวายให้ได้มาซึ่งโชคดีนั้น
หรือถ้าแสดงไปในทางไม่ดี ก็จะได้ระมัดระวัง และพยายามหลีกเลี่ยง หรือปัดเป่าเสียให้พ้นไป หรือ ให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้ ไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ในชีวิต เหล่านี้ เป็นต้น นับว่าเป็นประโยชน์แก่การศึกษาอีกประการหนึ่ง
ในเรื่องความเชื่อ และไม่เชื่อ ในวิชาโหราศาสตร์นั้น ปรากฎว่าได้มีความเห็นไกลเกินความหมายของวิชานี้ อยู่บ้าง คือในเบื้องต้นไปเข้าใจเสียว่าดาวพระเคราะห์นั้นมีอิทธิพลที่จะบันดาลให้เจ้าชะตาประสบโชคดีและโชคร้ายได้
ความเป็นไปในชีวิต ของมนุษย์ ย่อมขึ้นอยู่แก่อิทธิพลของดวงดาวทั้งสิ้น ไม่มีทางที่ตนจะหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าในทางดีหรือทางร้ายก็ตาม
เมื่อมีความเข้าใจเช่นนี้แล้ว ฝ่ายที่เชื่อจนเกินไป ก็ปล่อยตนให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่ขวนขวายที่จะฉวยโอกาศเมื่อโชคอำนวย และไม่พยายามหลีกเลี่ยงหรือ แก้ไขเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น ให้บรรเทาลง
ถือเสียว่า ไม่มีอะไรจะช่วยได้ เพราะดวงดาวบังคับมาให้เป็นเช่นนั้น ฝ่ายที่ไม่เชื่อก็เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล ดวงดาวจะมามีอิทธิพล เหนือชีวิต มนุษย์ ถึงกับ บันดาล ให้เป็นไปต่างๆ นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้
เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง มนุษย์เราจะต้องพยายามทำกิจการงาน หรือ วิ่งเต้น ทำมาค้าขาย หรือประกอบอาชีพทำไมกัน เมื่อดวงดาวบันดาลได้แล้ว ถึงคราวโชคดี ก็ควรจะได้มาเอง โดยไม่ต้องไปวิ่งเต้นหรือขวนขวายให้เสียเวลา หรือ เมื่อถึงคราวโชคร้าย ก็ไม่มีอะไร จะทำให้กลายเป็นอื่นไปได้
จะต้องเป็นไปตามโชคนั้นๆ ซึ่งตามที่จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ โชคดีหรือร้ายของคนเราอยู่ที่การกระทำของเขาเองต่างหาก คือ ถ้าเขาทำความดี โชคดีก็จะเกิดแก่เขา ถ้าทำชั่ว โชคร้ายก็จะเกิด
หาใช่เกิดเพราะอิทธิพลของดวงดาวไม่ อีกประการหนึ่ง มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อวิชาโหราศาสตร์ เพราะได้รับคำพยากรณ์ที่ผิดพลาดจากความจริงเป็นส่วนมาก
ความเข้าใจของผู้ที่เชื่อ และไม่เชื่อในวิชาโหราศาสตร์ ตามที่กล่าวมานี้ นับว่าเป็นความเข้าใจ ที่เกินความหมายของวิชาโหราศาสตร์ไปบ้าง ความจริงการใช้ตำแหน่งของดวงดาวในท้องฟ้ามาเป็นหลักในการทำนายดวงชะตาของบุคคล และการพยากรณ์โชคเคราะห์ต่างๆนั้น หาใช่ความหมายว่า ดวงดาวนั้น ใช้อิทธิพล บันดาลให้เจ้าชะตา เป็นไปดังนั้นไม่ หากหมายความเพียงว่า ดวงดาวเหล่านั้น เป็นเครื่องชี้ถึงวาสนา และ โชคชะตาของเจ้าของดวงชะตานั้นๆ เท่านั้น
เจ้าของดวงชะตาย่อมมีอำนาจอิสระที่จะปรับปรุงตนเอง หรือกระทำตน ให้เป็นผลดี หรือผลร้าย แก่ตนต่อไปอีกได้เสมอ
ตามหลัก เขาได้แบ่งดวงชะตาของบุคคลออกเป็น สองส่วน คือ ดวงกำเนิดส่วนหนึ่ง และ ดวงจรอีกส่วนหนึ่ง