ชะตากำเนิด อยู่ที่
วันอาทิตย์ เดือนหก ปีขาล
ผูกดวงได้ดังนี้
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗
๖ ๗ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕
๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๑ ๒
-------------------------------------------------------------------------
๑๐ ๑๓ ๙ ๑๒ ๑๕ ๑๑ ๑๔
ลองอ่านการเงินดูนะครับ
การเงิน จับเรือนกดุมภะ จะได้ ดาว ๗
มองตำแหน่งดาว ๗ อีกสองตำแหน่ง จะได้ มัชฌิมา กับพยายะ ฐาน ๑๕ กำลังดาวจันทร์
มองการเงินที่เป็นความมั่งคั่ง
ก็จับเรือนธนัง มาดู ได้ ดาว ๓ ชะเง้อดู เลข ๓ อีกสองตำแหน่ง ได้ ปุตตะ และมรณะ
ฐาน ๑๐ กำลังดาวเสาร์
จะเห็นว่า
การเงินไม่น่าจะดีเท่าไหร่นะครับ ทั้งถูกเบียดเบียน เพราะกดุมภะ ตกพยายะ แถม
ฐานผลบวก ไม่ส่งคุณสักเท่าไหร่ เนื่องจากดาว ๗ มีฐานผลบวกเป็น กำลังดาวจันทร์
และเสาร์กับจันทร์ นี่คู่พลัดพราก ว้าเหว่
มาดูธนัง ความมั่งคั่ง ก็ไม่น่าดี ตกปุตตะ
มรณะ มีคำว่ามรณะก็เสียวไส้แล้ว แถมยังตกฐาน ๑๐ กำลังเสาร์ อังคารเสาร์ เป็นดาวกระทบที่ให้ผลรุนแรงไม่ใช่น้อย
มองดูผิวเผิน คงไม่เอะใจเท่าไหร่
ทายไปตามตรง ว่า ดวงนี้ การเงินไม่ค่อยดี
แต่ว่า ดวงนี้ เป็นดวงเมืองกรุงเทพฯ
นี่สิครับ
ดวงเมือง หรือดวงสถานที่ใด ๆ
ถ้าหากยึดถือหลักการให้ดี เขาจะมีการให้ “ฤกษ์กำเนิด”
ที่ดีที่สุด ต่างจากดวงคนนะครับ เพาะคนนั้น บางทีเลือกเกิดไม่ได้
แต่ดวงเมืองเลือกเกิดได้
มีคำถามคือ ผู้ให้ฤกษ์
น่าจะเป็นโหราจารย์ชั้นสูง ในราชสำนัก ทำไม ถึงได้ให้ฤกษ์เช่นนี้
ฤกษ์ที่ทำให้บ้านเมือง มีสถานการเงินไม่ดี เอาเสียเลย
แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งนะครับ โหราจารย์
ผู้ให้ฤกษ์ ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความเก่งกาจกว่าพวกเราอย่างเทียบไม่ได้
ย่อมต้องไม่ให้ฤกษ์แบบนี้โดยไม่มีสาเหตุความนัยเป็นแน่ ผมเองก็เคยสงสัย จนเวลานี้
หายสงสัยแล้ว เพราะว่า “มองแต่เรือน”
อย่างเดียวไม่ได้
ลองตั้งต้นจาก “ดาว”สิครับ
การเงิน ต้องจับดาวศุกร์ จะเห็นว่า ดาวศุกร์อยู่ตำแหน่ง
โภคา ตนุ และลาภะ ฐานกำลังพระราหู คู่ลุ่มหลง ซึ่งในบางจังหวะ
ดาวคู่นี้ก็ให้คุณด้านลาภผล แต่ได้มา ก็ต้องใช้จ่าย เพื่อความสุขสำราญ
อึ้งเลยไหมครับ
ทำไมกลายเป็นหนังคนละม้วนไปได้
นี่ท่าน จับการเงิน ใส่ตนุ
คือตัวตนของเมืองเลยนะครับ แถมลาภ แถมความมั่นคง ให้อีก
ฐานก็เป็นฐานที่หนุนเรื่องลาภผลเสียด้วย
ตำแหน่งกดุมภะ เป็นดาวเสาร์ แต่ดาวเสาร์
ในความหมายอีกความหมายคืออะไรครับ ลองย้อนกลับไปมองสิครับ คือความหมายของ ประชาชน
พลเมือง ชาวไร่ชาวนา เกษตรกรใช่หรือไม่
พอเป็นกดุมภะ
พยายะ ก็เท่ากับ ให้ประชาชน เบียดเบียนการเงินของประเทศ นั่นเอง แต่ท่านคงกลัวว่า
เบียดเบียนมากไป ประเทศจะพังซะก่อน เลยให้ดาวเสาร์อยู่ตำแหน่ง มัชฌิมา
เสียอีกหนึ่งตำแหน่ง
เลยกลายเป็นว่า
ประชาชน เบียดเบียนเงินของประเทศอย่างพอดี ๆ
พูดง่าย
ๆ คือ วัตถุประสงค์ของการวางดวงเมืองนั้น มีเงินก็ให้ประชาชนอย่างเรา ๆ นี่แหละ
ได้ใช้จ่าย
พออ่านตั้งต้นจากดาว
กลายเป็นหนังคนละม้วนเลยครับ
ธนัง
เป็นปุตตะ เป็น มรณะ แต่ว่า เป็นดาวอังคาร และฐานกำลังเสาร์
ดาวอังคาร
คืออะไร คือทหารใช่ไหมครับ
สมัยก่อน
ยิ่งสมัยตั้งกรุง เป็นสมัยที่ศึกสงครามเยอะ การวางดวงเมือง เพื่อให้ทหาร
สร้างความมั่งคั่งให้ประเทศ ก็ไม่แปลก แต่ท่านก็วางให้ดาวทหาร เป็นปุตตะ คือ
ลูกหลาน คงอยากจะให้ทหารคือ ลูกหลานของประเทศ และวางไว้ที่มรณะ
ที่หมายถึงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึงวิถีของประเทศ จะถูกกำหนดโดยทหาร
ฟังแล้วเครียดเล็กน้อยนะครับ
แต่ช้าก่อน ท่านวางเงื่อนไว้อีกเงื่อนหนึ่งนะครับ
นั่นคือ
เอาดาวอังคารไปตั้งที่ฐานของกำลังดาวเสาร์
ดาวเสาร์
เมื่อกี้เราก็เห็นแล้วนะครับว่าหมายถึงอะไร
ครับ
ใช่แล้ว ประชาชน นั่นเอง นั่นคือความหมายว่า ทหาร จะทำอะไรก็ตาม
ต้องอยู่ในเงื่อนไขของประชาชนอีกทีหนึ่ง ถ้านอกลู่นอกทาง ดาวคู่ ๓๗
เป็นดาวคู่แตกหักอยู่แล้ว
พังครับ
ทหารคนไหน ทำการโดยไม่เห็นแก่ประชาชน จะมีอันวิบัติไปทุกราย
แล้วจะอึ้งว่า
โหราจารย์ระดับสูงในรั้วในวัง ท่านวางดวงเมืองไว้เหนือชั้นจริง ๆ
มามองดูดาวผู้นำ
ในทางโหร เขายึดถือว่า ดาวอาทิตย์เป็นผู้นำ จะเป็นว่า
วางอาทิตย์ไว้ที่ตำแหน่งอัตตะ สหัสชะ ทาสา ฐานกำลัง ๑๑ ราชาโชค
เห็นทาสา
ก็ต้องแปลว่าเหนื่อยยากใช่ไหมครับ ผู้นำประเทศ หรือกษัตริย์ (สมัยนี้ ต้องถือว่า
นายกฯ นะครับ อยู่ในตำแหน่งนี้ ส่วนดาวกษัตริย์ ย้ายไปใช้ดาวพฤหัสแทน) ต้องเหนื่อย
เสียสละ (ฐานบารมีนี่ครับ)
เพื่อตัวประเทศเอง(อัตตะ)
อีกตำแหน่ง
คือสหัสชะ อย่าลืมนะครับว่า ตำแหน่งนี้ มีความหมายเช่นเดียวกับดาวพุธ และดาวพุธ
มีความหมายหนึ่ง คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
โหราจารย์
จะวางให้ผู้นำประเทศ นั้น เหนื่อย เพื่อประเทศ เสียสละ
และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ประเทศเก่งครับ
โหร วางดวงเมืองแบบนี้ สุดยอดสิครับ
ลองนั่งไล่อ่านตำแหน่งอื่น
ๆ ดูนะครับ แต่ให้อาศัย “ดาว”
เป็นโจทย์ตั้งต้น จะเห็นถึงความเป็นอัจฉริยะภาพของโหราจารย์ระดับ “โหรวัง”
ว่าท่านเก่งกาจในการวางดวงเมืองขนาดไหน
แต่ตรงนี้
ก็จะมองอะไรได้ออกแล้วนะครับ ว่า ท่านให้ความสำคัญของ “ดาว”
มากกว่า “เรือน”
เพราะ ดาวนั้น แสดงถึงบุคลิกภาพแท้ ๆ แต่เรือน เป็นเหมือน ตำแหน่งหน้าที่การงาน
ซึ่งอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้ตามช่วงเวลา
คนพูดเก่งมาตั้งแต่เล็กน้อย
ก็ต้องพูดเก่งจนตาย ไม่เหมือนคนที่ต้องพูดตามหน้าที่ใช่ไหมครับ
ท่านมองว่า
เมืองของเรา ไม่ได้อยู่กันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ต้องอยู่กันยาวนาน เราตายไปแล้ว
เมืองก็ต้องอยู่ เลยผูกดวง วางฤกษ์ โดยใช้ดาวเป็นหลัก เพราะดาวยังไงก็คือดาว
ไม่มีเปลี่ยน
โหราศาสตร์
เขาจะมีวิชาหนึ่ง คือ ลัคนาจร วิชานี้จะทำให้สภาพเรือนชะตา ปรับเปลี่ยนไปตามอายุ
ปีนี้ ดาวอาทิตย์ ทำหน้าที่เป็นตนุ แต่ปีถัด ๆ ไป อาจจะทำหน้าที่เป็นมรณะก็ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร
ดาวก็ยังไม่มีเปลี่ยน ดาวพฤหัส กี่ปี ๆ ก็เป็นดาวพฤหัส
ตรงนี้อาจจะเป็นคำตอบนะครับ
ว่า ท้ายที่สุดแล้ว อะไรสำคัญกว่ากัน
ใครอ่านดวงโหราศาตร์เป็น
ลองเอาดวงเมืองมานั่งอ่าน แล้วใช้ “ดาว”
เป็นตัวตั้งต้นนะครับ ท่านจะเห็นความมหัศจรรย์
โหรสมัยก่อน
ท่านวางดวงเมืองไว้ลึกซึ้งจริง ๆ ครับ